18.9.57

8 อาหารเช้า สลัดความง่วง ปลุกสมองปลอดโปร่ง !




        เช้าๆ ตื่นมาเหมือนยังไม่ตื่นดี ทั้งงัวเงียและหงุดหงิดง่ายเหมือนนอนได้ไม่เต็มอิ่ม คิดอะไรไม่ค่อยออกหรืออาจจะอึนกันไปตลอดวัน … เป็นแบบนี้ไม่ดีแน่  "ไทยรัฐออนไลน์" ขอเพิ่มความกระชุ่มกระชวย ปลุกความสดชื่นให้คุณในตอนเช้า เติมความปลอดโปร่งให้สมองวิ่งแล่น และเพิ่มพลังงานด้วยอาหารเช้า 8 อย่าง ทั้งอาหารทานเล่นและผลไม้ที่คุณอาจไม่คิดว่ามันช่วยได้จริง แถมที่สำคัญยังทำให้คุณอารมณ์ดีและรู้สึกกระปรี้กระเปร่าตลอดวัน

     เดินหน้าสตาร์ตเพิ่มพลังงานให้ร่างกาย...!
    1. อัลมอนด์ 
    อาหารทานเล่นที่เป็นแหล่งรวมสารอาหารชั้นยอด อย่างโปรตีนและไขมันต่ำ (ที่ไม่ทำให้อ้วน) นอกจากอัลมอนด์จะช่วยให้พลังงานแก่ร่างกายและช่วยให้สมองไบรท์มากขึ้นแล้ว อัลมอนด์ยังช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดของคุณให้คงที่ด้วย จึงเหมาะที่จะทานในตอนเช้าเป็นอย่างยิ่ง คุณอาจจะทานเล่นๆ หรือนำไปมิกซ์ผสมกับอย่างอื่นก็ได้

    2. ไข่ไก่ 
    เหตุผลที่เรา (ต้อง) กินไข่ไก่ทุกเช้าให้เป็นนิสัย เพราะในไข่ไก่อุดมไปด้วยโปรตีน ซึ่งมีส่วนช่วยในการทำงานของสมอง ให้สมองรู้สึกปลอดโปร่ง คิดและตัดสินใจสิ่งต่างๆ ได้เร็วและง่ายขึ้น รวมทั้งไข่ไก่หนึ่งใบยังให้พลังงานมากถึง 3 เท่า ! คุณสามารถทำอะไรหลายสิ่งอย่างได้ตลอดวัน โดยที่คุณไม่รู้สึกเสียพลังงานเลยแม้แต่น้อย



    3. โยเกิร์ต
    เลือกทานโยเกิร์ตแบบธรรมดาๆ ในตอนเช้าแทนน้ำผลไม้หวานๆ ที่ใส่น้ำตาล (ที่เป็นสาเหตุให้คุณเหนื่อยง่ายและพลังงานในร่างกายลดลง) โยเกิร์ตจะช่วยให้ระบบย่อยอาหารและการขับถ่ายดีขึ้น หรือบางทีคุณอาจนำอัลมอนด์มามิกซ์ทานเข้าด้วยกันก็อร่อยไปอีกแบบ  แถมยังช่วยสร้างพลังงานให้กับร่างกายได้ดีจริงเชียว ยิ่งถ้านำโยเกิร์ตไปแช่เย็นก่อนทาน คุณจะรู้สึกสดชื่นแบบสุดๆ

*** ทริคเล็กน้อย ***
โยเกิร์ต สามารถทานได้ตลอดเวลา ยิ่งถ้าคุณทานโยเกิร์ตก่อนนอนทุกคืน ตอนเช้าตื่นมาคุณจะขับถ่ายได้ดีทีเดียวล่ะ

    4. แอปเปิ้ล
    ทานแอปเปิ้ลแทนกาแฟสักแก้วในตอนเช้า คุณจะไม่เพียงรู้สึกตื่น แต่คุณจะรู้สึกอิ่มท้องด้วย … น้ำตาลธรรมชาติที่อยู่ในแอปเปิ้ลจะทำให้คุณดีดตัว คุณจะรู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่ามากขึ้น

    5. ผักขมหรือกะหล่ำปลีสีเขียวเข้ม  
    รับเช้าวันใหม่ด้วยผักสีเขียวที่ปกคลุมไปด้วยใบ ประโยชน์หลากหลายที่อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุต่างๆ ช่วยให้สมองแล่นพร้อมเปิดรับสิ่งต่างๆ ได้ดีขึ้น ในเช้าวันไหนที่คุณเบื่อๆ ลองทำไข่คนใส่ผักขมหรือกะหล่ำปลีสีเข้มๆ ดูสิ รับรอง … มันจะช่วยขับเคลื่อนพลังงานให้คุณอย่างเต็มที่เลยล่ะ


    6. ธัญพืช โฮลเกรนต่างๆ 
    อาหารสมองที่เต็มไปด้วยประโยชน์และคุณค่าทางอาหารมากมาย นอกจากโฮลเกรนจะให้พลังงานมากเท่าที่คุณต้องการแล้ว ยังเป็นอาหารที่ช่วยลดความอ้วนได้อย่างยอดเยี่ยมอีกด้วย เพราะธัญพืชหรือโฮลเกรนเป็นข้าวที่มีคาร์โบไฮเดรตต่ำ (แต่ให้พลังงานสูง) จึงเป็นอาหารยอดนิยมสำหรับผู้ที่รักสุขภาพ อยากมีหุ่นสวยโดยเฉพาะ อาหารเช้าคุณอาจฉีกกรอบไอเดียเดิมๆ มิกซ์ธัญพืชโฮลเกรนเข้ากับอัลมอนด์ หรือทานคู่กับแอปเปิ้ลก็ได้ ก็อร่อยแถมได้ประโยชน์ไปอีกแบบ …

    7. ผลส้ม 
    ทานผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินซีอย่างส้มสัก 1- 2 ผล ในตอนเช้า เพื่อให้ร่างกายของคุณได้เบิร์นไขมันเป็นพลังงาน…ไม่แปลกใจเลยว่า ใครๆ ก็ดื่มน้ำส้มในตอนเช้า !

    8. กล้วย 
    ผลไม้ที่อุดมไปด้วยโพแทสเซียมและวิตามินมากมาย กล้วยจะช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดของคุณให้คงที่และทำให้การขับถ่ายดีขึ้น ส่วนน้ำตาลในกล้วยจะช่วยให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่าและรู้สึกมีพลังมากขึ้น นอกจากทานกล้วยในตอนเช้าแล้ว ลองเปลี่ยนมาทานกล้วยตอนบ่ายๆ เพื่อเพิ่มความสดชื่น คลายง่วงแทนการดื่มกาแฟสักแก้ว ก็เวิร์กอยู่นะ !
   จริงๆ แล้วคุณสามารถทานกล้วยได้ตลอดเวลา ยิ่งทานกล้วยมากเท่าไร ยิ่งดีต่อสุขภาพเท่านั้น...!




แหล่งที่มา : ไทยรัฐออนไลน์


17.9.57

‘บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป’ บริโภคมากเสี่ยงโรค

          



          นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัย ด้านหัวใจและหลอดเลือดเบย์เลอร์ ในรัฐเทกซัส ของสหรัฐ เปิดเผยผลการวิจัยที่บ่งชี้ว่า ผู้ที่รับประทานบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป 2-3 มื้อต่อสัปดาห์ เสี่ยงต่อการทำให้ระบบเผาผลาญในร่างกายและการทำงานของหัวใจผิดปกติ
 
          ซึ่งเป็นอาการที่ส่งผลให้เกิดโรคหัวใจ หลอดเลือดสมอง และเบาหวานได้ อีกทั้งบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปยังมีโซเดียมหรือเกลือ และไขมันไม่อิ่มตัว ซึ่งเป็นไขมันที่ไม่ดีต่อสุขภาพในปริมาณที่สูงมาก อย่างไรก็ดี ชาวเกาหลีใต้ที่ขึ้นชื่อเรื่องการนิยมรับประทานบะหมี่สำเร็จรูป บอกว่าไม่กังวลเรื่องพิษภัยจากบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เพราะมันทั้งสะดวก อร่อย ราคาไม่แพง และหาซื้อง่ายที่สุด

         จึงไม่น่าแปลกใจที่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปจะเป็นสินค้าที่มียอดขายสูงที่สุดใน เกาหลีใต้ ขณะที่ชาวจีนเองก็นิยมรับประทานบะหมี่สำเร็จรูปเหมือนกัน โดยในปีที่ผ่านมา ชาวจีนรับประทานบะหมี่สำเร็จรูปถึง 46,200 ล้านซอง คิดเป็นร้อยละ 44 ของบะหมี่สำเร็จรูปที่ผลิตทั่วโลกต่อปี






         ที่มา : เว็บไซต์แนวหน้า

         ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต

นอนน้อย อ้วนมาก







         ผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาการระบาด จากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย สหรัฐอเมริกา ศึกษาความเชื่อมโยงระหว่างการนอนหลับ และโรคอ้วนในเด็กวัยเรียน พบว่า เด็กที่นอนน้อยกว่า 6 ชั่วโมงต่อวัน มีแนวโน้มเป็นโรคอ้วน และเบาหวานมากกว่าเพื่อนที่นอนอย่างน้อย 8 ชั่วโมงต่อวัน 
          ชา กีรา ซูเกลีย ผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาการระบาด จากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย สหรัฐอเมริกา ศึกษาความเชื่อมโยงระหว่างการนอนหลับ และโรคอ้วนในเด็กวัยเรียน ผ่านการทดสอบกับวัยโจ๋ อายุ 16 ปี จำนวน 10,000 คน โดยบันทึกระยะเวลาในการนอนหลับแต่ละวัน
          จากนั้นนำไปเปรียบเทียบกับน้ำหนักในช่วงทดสอบ และเมื่อเด็กอายุครบ 21 ปี พบว่า เด็กที่นอนน้อยกว่า 6 ชั่วโมงต่อวัน มีแนวโน้มเป็นโรคอ้วน และเบาหวานมากกว่าเพื่อนที่นอนอย่างน้อย 8 ชั่วโมงต่อวัน ถึงร้อยละ 20 ซ้ำร้าย เด็กที่ชอบอดนอน และนอนน้อยยังมีโอกาสน้ำหนักมากกว่าเกณฑ์เมื่ออายุ 21 ปี ถึงเท่าตัว
          นักวิจัยอธิบายว่า เมื่อร่างกายอ่อนเพลียเพราะพักผ่อนไม่เพียงพอ จะส่งผลให้ขาดความกระปรี้กระเปร่า เด็กๆ ในกลุ่มนอนน้อยจึงชอบกินของหวานที่ช่วยกระตุ้นความตื่นตัว รวมถึงอาหารที่อุดมไปด้วยแป้ง และไขมันสำหรับเพิ่มพลังงาน ยิ่งนอนดึกก็ยิ่งหิว ยิ่งกินก็ยิ่งอ้วน และตามมาด้วยโรคร้ายในที่สุด




          ที่มา : ข่าวสดออนไลน์
          ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต

12.9.57

ปรับสมดุลร่างกาย รับประทานผักผลไม้ที่เหมาะสม


 




         การรักษาสุขภาพด้วยวิธีประหยัด เรียบง่ายและได้ผลดี โดยการรับประทานอาหารที่เหมาะสมกับสภาวะของร่างกาย โดยปกติร่างกายคนเราเมื่ออยู่ในภาวะสมดุลจะเกิดความสบาย แข็งแรงและมีกำลังในการทำงาน
 
         แต่หากร่างกายขาดภาวะสมดุลจะก่อให้เกิดอาการไม่สบายต่างๆ ภาวะขาดสมดุลของร่างกายแบ่งเป็นสองภาวะใหญ่ๆ คือ ร้อนเกินหรือเย็นเกิน อาการของภาวะร่างกายขาดสมดุลแบบร้อนเกิน เช่น ปวดหัว ออกร้อนตามร่างกาย ผิวหนังมีผื่นปื้นแดงคัน ตาและปากแห้ง มักเป็นร้อนในในช่องปาก เส้นเลือดขอด สิว ฝ้า กระ ผมหงอกก่อนวัย ปัสสาวะน้อยและมีสีเข้ม ท้องผูก อุจจาระเป็นก้อนแข็ง เป็นต้น  ส่วนผู้ที่มีภาวะขาดสมดุลแบบเย็นเกินมักมีอาการตัวเย็น หน้าซีด มือเท้าเย็น ชาตามมือเท้าแขนขา เฉื่อยชาเชื่องช้า ตาแฉะ ขี้ตาเยอะ หนังตาบวม ท้องอืด ปัสสาวะใสปริมาณมาก อุจจาระเหลวสีอ่อน ถ่ายกระปิดกระปอย เป็นต้น

         ในปัจจุบันประชากรส่วนใหญ่ของไทยมักมีอาการภาวะขาดสมดุลร่างกาย เนื่องจากมีสภาวะที่เร่งรีบ กดดัน บีบคั้น เคร่งเครียด พักผ่อนน้อย ไม่ออกกำลังกาย และรับประทานอาหารจำพวกแป้ง เนื้อสัตว์ ไขมัน น้ำตาล เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์มากเกินไป แต่รับประทานอาหารจำพวกผักและผลไม้น้อยเกินไป จึงมักเกิดภาวะขาดดุล

          ผักและผลไม้ที่มีฤทธิ์เย็นสามารถลดอาการที่เกิดจากภาวะขาดสมดุลร่างกายแบบ ร้อนเกิน เช่น ย่านาง ใบบัวบก ผักหวาน ผักบุ้ง ตำลึง กะหล่ำดอก ผักกาดขาว ผักกาดหอม ฟัก แฟง แตงกวา บวบ หัวไชเท้า มะเขือเทศ มะนาว แตงโม แตงไทย แคนตาลูป มังคุด สับปะรด ส้มโอ กระท้อน แก้วมังกร ชมพู่ มะม่วงดิบ เป็นต้น 

          ส่วนผักและผลไม้ที่มีฤทธิ์ร้อนที่สามารถลดอาการที่เกิดจากภาวะขาดสมดุลแบบเย็น เกินคือ พริก ขิง ข่า ตะไคร้ ต้นหอม ผักชี พริกไทย กระชาย กระเพราะ โหรพา ยี่หร่า ฟักทอง กุยช่าย คะน้า กะหล่ำปลี ถั่วฝักยาว ถั่วพู ผักโขม ชะอม แครอท ฝรั่ง ขนุน ทุเรียน ลำไย น้อยหน่า สละ ส้มเขียวหวาน เสวารส มะเฟือง มะขามป้อม มะม่วงสุก เป็นต้น

          ดังนั้นควรตรวจสอบสภาวะร่างกายของท่านว่าขาดสมดุลแบบร้อนเกินหรือเย็นเกิน จากอาการที่กล่าวมาข้างต้น จากนั้นจึงเลือกรับประทานผักและผลไม้ที่เหมาะสมเพื่อปรับสมดุลร้อน-เย็นนั้น เพื่อรักษาสภาวะร่างกายให้สมดุล ร่างกายจะแข็งแรง สดชื่น มีกำลังและลดการเกิดโรคได้






         ที่มา : มนฑิณี กมลธรรม ฝ่ายเทคโนโลยีการเกษตร สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.)  เว็บไซต์แนวหน้า

        ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต

11.9.57

งาดำ...เมล็ดจิ๋วประโยชน์แจ๋ว!








 ช่วยบำรุงผม-ผิวสวย-กระดูก-หัวใจ

       ก่อนหน้านี้ คลื่นความนิยมเจ้าพืชเมล็ดเล็กๆ อย่าง งาดำก็ฟุ้งกระจายไปทั่วสังคมไทยคล้ายกับปรากฏการณ์ ชาเขียวที่ เกิดกระแสโหมฮิตเป็นพักๆ อันที่จริงทั้งชาเขียวและงาดำที่กำลังจะกล่าวถึงนี้ถือเป็นของดีมีประโยชน์ แต่ที่ค่อนข้างน่าเป็นห่วง ก็คือ ลักษณะเฉพาะ เทรนด์สุขภาพ ในประเทศไทยบ้านเรามักจะเป็นช่วงๆ และช่วงหนึ่งๆ ก็เพียงสั้นๆ อะไรฮิตอะไรนิยมก็แห่ไปซื้อหา พอเลิกเป็นกระแสหรือมีตัวใหม่ออกมาแทน ก็จะแห่ไปทำตามความนิยมในช่วงนั้นๆ ทำให้การกินเพื่อบำรุงสุขภาพนั้นไม่ต่อเนื่อง

          ...งาดำเองก็ไม่ได้หนีพ้นปรากฏการณ์ฮิตเป็นพักๆ ดังกล่าวด้วย

          แต่ในความเป็นจริงแล้ว อาจารย์สุกัญญา หงส์ประภาส จากคลินิกเฉพาะทางการแพทย์แผนไทย โรงพยาบาลนครธน ได้ให้ความรู้อันน่าสนใจยิ่งว่า งาดำ นั้นเป็นพืชที่มีประโยชน์มาก และควรจะรับประทานอย่างต่อเนื่องในรูปแบบของ อาหาร เป็นประจำ จะช่วยเสริมสร้างสุขภาพให้มีต้นทุนมาก เมื่ออายุมาก ชราลง ร่างกายจะแข็งแรงกว่าคนที่ละเลยไม่รับประทาน

          งา ดำเป็นอาหารสารพัดประโยชน์ ช่วยบำรุงหลายส่วนของร่างกาย ทั้งผม ผิวพรรณ เล็บ กระดูก เพิ่มแคลเซียม ช่วยให้ระบบขับถ่ายเป็นปกติ บำรุงหัวใจให้แข็งแรง มีกรดไขมันดีมาก มีสารอาหารที่ดีต่อร่างกายหลายชนิด แม้คนที่ยังเด็กหรือไม่มีอาการป่วย ก็ควรรับประทานเป็นประจำเพื่อสร้างต้นทุนทางสุขภาพที่ดีให้แก่ร่างกายตัวเอง และสำหรับผู้หญิงที่กำลังจะก้าวเข้าสู่วัยทอง งาดำจำเป็นมาก เพราะจะช่วยป้องกันภาวะกระดูกพรุนได้ผลเนื่องจากมีแคลเซียมสูง

          ผู้ เชี่ยวชาญด้านแพทย์แผนไทยรายนี้ อธิบายต่อไปอีกว่า การรับประทานงาดำ ควรรับประทานเป็นอาหาร แทนที่จะรับประทานเป็นสารสกัด ก่อนรับประทานควรนำมาคั่วให้โดนความร้อนสักนิด ควรคั่วไว้ใช้กะให้ได้ประมาณ 1 สัปดาห์ แบ่งออกมาคั่วและเก็บไว้ในขวดโหลที่แห้ง เมื่อหมดแล้วค่อยคั่วใหม่ เพื่อให้ได้รับประทานงาคั่วใหม่ๆ หอมๆ ทุกสัปดาห์ เวลาเลือกซื้อควรเลือกซื้อยี่ห้อที่ดีสักหน่อย มีการบรรจุในบรรจุภัณฑ์ที่มิดชิดเรียบร้อย ไม่ควรซื้อที่แบ่งขายตามร้านของของชำ เพราะอาจเสียงกับมูลแมลงสาปหรือแมงอื่นๆ จากการเก่าเก็บภายในร้าน และไม่ควรซื้อแบบที่บดสำเร็จแล้วเนื่องจากอาจมีเชื้อราอะฟลาทอกซินติดมาด้วย

          การ รับประทานงาดำไม่แนะนำให้โรยในข้าวหรือใส่กับเครื่องดื่ม เพราะวิธีการรับประทานงาดำที่ดีที่สุดคือการเคี้ยว หากเราโรยข้าวหรือใส่เครื่องดื่ม บางครั้งไม่ได้เคี้ยว ร่างกายอาจจะดูดซึมไม่ได้เต็มที่ เข้าไปอย่างไรก็ออกมาอย่างนั้น ดังนั้นต้องเคี้ยว ปกติก็รับประทานอยู่ ใส่กับขนมปังโฮลวีตทุกเช้า วันละ 10 ช้อน แต่ถ้าเป็นวัยรุ่น วันทำงาน ก็อาจจะไม่ต้องมากขนาดนี้ อาจจะประมาณวันละ 3-4 ช้อน หรือเดี๋ยวนี้เห็นเขาทำน้ำเต้าหู้งาดำขาย อันนั้นก็รับประทานได้เหมือนกัน แต่ถ้าเป็นวัยสูงอายุหน่อยหรือเข้าสู่วัยทองก็เพิ่มปริมาณให้มากหน่อย คือ อาจจะ 6-9 ช้อนก็ได้"

          และ ไม่ใช่เฉพาะแค่การรับประทานอย่างเดียว อาจารย์สุกัญญา ยังให้ภาพคุณประโยชน์รอบด้านของงาดำเพิ่มเติมด้วยว่า ในการรักษาผู้ป่วยโรคกระดูก ข้อ และเส้นเอ็น แบบการแพทย์แผนไทยของโรงพยาบาลที่อาจารย์เป็นผู้ดูแลอยู่นั้น ก็ได้นำเอาน้ำมันเมล็ดงามาใช้ทานวดเพื่อแก้อาการบาดเจ็บของเส้นเอ็นอีกด้วย

          ที่ โรงพยาบาล น้ำมันนวดจะใช้น้ำมันงานเป็นพื้นฐาน และจะนำสมุนไพรต่างๆ มาผสมเพื่อปรุงเป็นยานวด น้ำมันงาจะมีสรรพคุณช่วยนำพาฤทธิ์ยาสมุนไพรที่ถูกนำมาผสมอยู่ดูดซึมเข้าไป รักษาเส้นเอ็นที่บาดเจ็บได้เร็วขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

          แหม...ฟังดูประโยชน์รอบด้านทั้งกินทั้งทาแบบนี้ ไม่รีบออกไปซื้อมาลองเสริมสุขภาพกันไม่ได้เสียแล้ว...







ที่มา : หนังสือพิมพ์ astv ผู้จัดการ

ชะลอความแก่ด้วยงาดำ



ลดคอเลสเตอรอลในเลือด

          ใน การรักษาความอ่อนเยาว์ของผิวพรรณ คนเราต้องการอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต วิตามิน เกลือแร่ โปรตีน ไขมัน เส้นใยอาหารและน้ำ ดังนั้นการกินอาหารให้ครบหมวดหมู่ในปริมาณที่พอเหมาะสมดุลกัน เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งต่อสุขภาพ อย่างไรก็ตาม สารต้านอนุมูลอิสระก็มีความสำคัญมากเช่นกัน สารต้านอนุมูลอิสระจะเป็นตัวชะลอความแก่หรือความเสื่อม โดยจะพบมากในอาหารประเภทผัก ผลไม้และเมล็ดธัญพืช เป็นต้น 

  สาร ต้านอนุมูลอิสระที่มีในอาหารธรรมชาติ เช่น วิตามินเอ บีรวม ช่วยดูแลเรื่องผิวพรรณ วิตามินซี ช่วยสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ซึ่งเป็นส่วนประกอบของชั้นหนังแท้ และวิตามินอี ช่วยปกป้องผนังเซลล์ โดยสารอาหารเหล่านี้ควรได้รับในปริมาณที่พอดี ไม่มากเกินไป ซึ่งเพียงการรับประทานอาหารตามธรรมชาติก็อาจช่วยให้เราได้รับสารอาหารเหล่า นี้อย่างพอเพียง

          พบ ว่างาดำเป็นธัญพืชที่ได้รับการยอมรับจากคนทั่วโลกเป็นเวลานานว่า เป็นธัญพืชที่ให้คุณค่าทั้งบำรุงสุขภาพและบำรุงความงาม เพราะในเมล็ดงาดำนั้นมีสารต้านอนุมูลอิสระสูงและมีทั้งวิตามินเอ กลุ่มวิตามินบีรวม วิตามินซี และวิตามินอี โดยวิตามินอีในงาดำ นอกจากจะมีคุณสมบัติช่วยซ่อมแซมผิวและสร้างภูมิคุ้มกันให้กับผิวพรรณแล้ว ยังช่วยเก็บออกซิเจนและลดคอเลสเตอรอลในเลือด ซึ่งมีส่วนช่วยในการชะลอความเสื่อมของผิวอีกด้วย นอกจากนี้ในงาดำยังมีสารอาหารและวิตามินอื่นๆ อีกมาก โดยเฉพาะแคลเซียมสูงมาก ว่ากันว่าสูงกว่านมวัวถึง 6 เท่าทีเดียว ดังนั้นงาดำจึงทำให้กลายเป็นธัญพืชยอดนิยมที่ถูกนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในการ ปรุงอาหารทั้งคาวหวาน และเครื่องดื่มหลากหลายเมนู ในการเลือกผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มที่มีงาดำเป็นส่วนประกอบนั้น ควรเลือกที่มีส่วนผสมในปริมาณที่เข้มข้นและมากพอเพียงสำหรับความต้องการของ ร่ายกาย และถ้ามีส่วนประกอบของวิตามินอื่นๆ ด้วยก็จะช่วยให้ร่างกายได้รับคุณประโยชน์สูงสุด และจำเป็นต่อการบำรุงสุขภาพให้ดูอ่อนเยาว์

          การ เลือกรับประทานสารอาหารหลักในชีวิตประจำวันให้ครบทุกหมวดหมู่ ทั้งคาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน วิตามิน เกลือแร่และน้ำ ซึ่งล้วนแต่จะเป็นอาหารที่ผิวต้องการในการรักษาสุขภาพผิวหรือในการบำบัดความ ผิดปกติที่เกิดขึ้นกับผิว ที่สำคัญควรเน้นอาหารประเภทผักและผลไม้สด อย่างน้อยวันละ 8-10 ส่วน ซึ่งอุดมด้วยสารต่อต้านอนุมูลอิสระเช่น วิตามินซี อี และเบตาแคโรทีน ฯลฯ ซึ่งจะเป็นตัวต่อต้านอนุมูลอิสระอันเป็นสาเหตุสำคัญของอาการเสื่อมของร่างกาย จะส่งผลให้มีสุขภาพดีทั้งภายในและภายนอก

          นอก จากนี้ต้องพยายามปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหลีกเลี่ยงหรือปล่อยวางจากความเครียด และหลีกเลี่ยงปัจจัยเร่งแก่ต่างๆ จากภายนอกที่ทำอันตรายต่อผิว ไม่ว่าจะเป็นรังสียูวีจากแสงแดดจัดๆ ในช่วงเวลาประมาณ 10.00-15.00 น. มลภาวะต่างๆ ในอากาศ สารพิษในอาหาร น้ำดื่มที่ไม่สะอาด เชื้อไวรัส ควันบุหรี่ เขม่าควันและอนุมูลอิสระ ทั้งนี้ต้องรักษาผิวพรรณให้ชุ่มชื้นอยู่เสมอด้วยการดื่มน้ำ ทาครีมที่มีสารกันแดด spf 15 รวมทั้งการใส่ใจในอาหารและโภชนาการ ทำจิตใจให้เบิกบานแจ่มใส หัดมองโลกในแง่ดี การออกกำลังกายที่เหมาะสมอย่างสม่ำเสมอและพักผ่อนให้เพียงพอ เหล่านี้จะช่วยดูแลรักษาสุขภาพและชะลอความเสื่อมของร่างกายและผิวพรรณของ ท่านให้ดีดูอ่อนเยาว์ได้






ที่มา : หนังสือพิมพ์บ้านเมือง  โดย ดร.อภิสิทธิ์ ฉัตรทนานนท์ ประธานมูลนิธิคุณแม่คุณภาพ

ประโยชน์งาดำ


ลดคอเลสเตอรอล

          ชื่อ ของ "งาดำ" คุ้นหูสำหรับคนที่รักสุขภาพมากขึ้นเรื่อย ๆ งาดำถูกนำเป็นส่วนผสมของผลิตภัณฑ์หลายอย่าง เช่น สมุนไพรขัดผิว โลชั่นบำรุง งาดำผงและมันยังเกี่ยวข้องกับการชะลอวัยเช่นกัน งานั้นเป็นพืชล้มลุก ผลเป็นฝัก มีเมล็ดเล็ก ๆ สีขาวหรือสีดำ สามารถเป็นอาหาร เครื่องเทศ และทำน้ำมันได้

งาดำมีคุณค่าทางอาหารและความงามในด้านคุณค่าทางสารอาหาร เพราะมีทั้งโปรตีนกรดอะมิโน แร่ธาตุ และวิตามินที่สำคัญ ๆ มากมาย

          โปรตีนที่มีกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย คือกรดอะมิโนเมไทโอนีน

          น้ำมัน งาก็มีคุณสมบัติเยี่ยม คือ มีกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัวสูง ทั้งกรดไขมันโอเมก้า3 กรดไขมันโอเมก้า6 ที่มีคุณสมบัติช่วยลดคอเลสเตอรอล จึงช่วยป้องกันหลอดเลือดแข็งตัว ป้องกันโรคหัวใจ ทำให้ระบบหัวใจแข็งแรง

          รวม ทั้งช่วยเยียวยาในโรคข้อเสื่อมได้เช่นกันงายังมีแคลเซียมที่มีมากกว่านมวัว ถึง 6 เท่า มีธาตุเหล็กแมกนีเซียม สังกะสี ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม และทองแดง และยังมากด้วยวิตามินบีชนิดต่าง ๆ ซึ่งดีต่อระบบประสาทช่วยทำให้นอนหลับ ร่างกายกระฉับกระเฉง มีสารบำรุงประสาท และวิตามินอีเป็นตัวแอนติออกซิแดนต์ต้านมะเร็ง

          ส่วน ในเรื่องความงาม งาดำเป็นอาหารที่มีประโยชน์ต่อการชะลอความแก่เพิ่มความอ่อนเยาว์ให้กับผิว ได้อย่างน่าทึ่ง เพราะมันมีสารอาหารที่ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระอยู่เป็นจำนวนมาก

          วิตามินเอ บีรวม ช่วยดูแลเรื่องผิวพรรณวิตามินซี ช่วยสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ซึ่งเป็นส่วนประกอบของชั้นผิวหนังแท้ และวิตามินอีในงาดำยังช่วยซ่อมแซมผิวและยังสร้างภูมิคุ้มกันให้กับผิว

          เห็นอิทธิฤทธิ์ของงาดำแล้วหรือยัง แล้วมัวมานิ่งเฉยอยู่ทำไม






         ที่มา : หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ